วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หลุมยักษ์ 9 แห่งทั่วโลก




หลุมยักษ์กัวเตมาลา 2010


หลุมยักษ์กัวเตมาลา
จากเหตุการณ์พายุอธากาถล่มอเมริกากลาง จนทำให้เกิดปรากฏการณ์หลุมยุบขนาดใหญ่กลางกัวเตมาลาเมื่อปลายเดือนก่อน ทำให้ประเด็นหลุมยุบ กลายเป็นที่สนใจของผู้คนทั่วโลกไปในชั่วข้ามคืน ด้วยรูปถ่ายจากอากาศที่เรียกได้ว่า ใครเห็นก็ต้องรู้สึกอึ้งและประหลาดใจกับปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นแบบนี้ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีหลุมยักษ์เกิดขึ้นบนโลก เพราะหากลองศึกษาหาข้อมูลดู จะพบว่า หลุมยักษ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และบนโลกนี้ก็ยังมีหลุมในลักษณะเดียวกันอีกหลายหลุมเลยทีเดียว ทั้งที่เกิดจาปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเกิดจากน้ำมือมนุษย์ ทั้งนี้หลุมใหญ่ ๆ ทั่วโลกมีถึง 9 หลุม ดังนี้




The Great Blue Hole
1. หลุมเกรทบลูโฮล ประเทศเบลิส เป็นหลุมตามธรรมชาติที่ใหญ่และน่ากลัวที่สุดในโลก มีลักษณะเป็นถ้ำลึกลงไปใต้ทะเล มีขนาดความกว้างปากหลุมประมาณ 300 เมตร ลึกประมาณ 125 เมตร ข้างล่างเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคน้ำแข็งเลยทีเดียว และแม้ว่าหลุมนี้จะเป็นหลุมที่น่ากลัวที่สุดและคร่าชีวิตคนมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่บริเวณนี้ก็ยังเป็นที่นิยมของนักประดาน้ำที่ชอบความท้าทายอยู่ไม่น้อย




The Door to Hell
2. ประตูนรก อุเบกิซสถาน เป็นหลุมแก๊สพิษขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เมืองดาร์วาซ ของประเทศอุเบกิซสถาน ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อ 35 ปีก่อน และเนื่องจากเป็นหลุมที่ประกอบด้วยแก๊สพิษมากมาย นักธรณีวิทยาได้จุดไฟเผาตั้งแต่นั้นมา จนทุกวันนี้ผ่านมา 35 ปีแล้ว เพลิงไฟที่จุดขึ้นในวันนั้นก็ยังไม่เคยดับเลย ทำให้หลุมนี้ถูกเรียกว่าเป็นประตูนรกของโลก


3. เหมือง Mirny ทางตะวันออกของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย เป็นหลุมเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มขุดเมื่อปี ค.ศ. 1957 และปิดตัวลงเมื่อ 10 ปีก่อน มีขนาดปากหลุมกว้าง 1.2 กิโลเมตร และลึก 525 เมตร ขุดเพชรได้ประมาณ 10 ล้านกะรัตต่อปี และนอกจากนี้ หลุมนี้ยังมีแรงดึงดูดที่สามารถทำให้เครื่องบินชนกันได้อย่างง่าย ๆ ดังนั้น จึงมีการออกกฎห้ามไม่ให้เครื่องบินบินผ่านหลุมนี้

4. Kimberley Big Hole หรือ เหมืองเพชร Kimberley ในแอฟริกาใต้ เป็นหลุมเพชรอีกแห่งหนึ่งที่เริ่มขุดเมื่อปี ค.ศ. 1871 และสิ้นสุดการขุดเมื่อปี ค.ศ. 1914 ปากหลุมกว้าง 463 เมตร ลึก 240 เมตร ส่วนเพชรที่ได้จากการขุดหลุมนี้ มีน้ำหนักถึง 2,720 กิโลกรัม หรือเกือบ ๆ 3 ตัน เลยทีเดียว


5. เหมือง Bingham Canyon หรือที่ทั่วโลกรู้จักกันในนาม Kennecott Copper อยู่ในซอลท์เลค ยูทา เป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1906 มีขนาดปากหลุมกว้าง 4 กิโลเมตร ลึก 1.2 กิโลเมตร ได้รับการยอมรับว่าเป็นหลุมที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

6. Glory Hole หลุมยักษ์หลุมนี้อยู่กลางเขื่อนมอลติเชลโล แคลิฟอร์เนีย สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการระบายน้ำ กรณีที่มีน้ำล้นเขื่อน ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดสิ่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
7. เหมือง Diavik ประเทศแคนาดา เป็นอีกหนึ่งเหมืองเพชรที่ขุดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ เริ่มการสำรวจในปี 1992 ก่อนจะขุดเมื่อปี 2001

8. หลุมยักษ์กลางกัวเตมาลา ปี 2007 เป็นหลุมจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกลางกัวเตมาลา มีความลึกประมาณ 100 เมตร ดูดเอาบ้านนับสิบหลังให้หายวับไปกับตาได้อย่างรวดเร็วในขณะนั้น


9. หลุมยักษ์กลางกัวเตมาลา ปี 2010 หลุมนี้เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในบริเวณที่ไม่ห่างจากหลุมแรกมากนัก ปากหลุมมีความกว้าง 18 เมตร และลึกราว 30 เมตร [ ดังรูปข้างบนสุด ]

ปริศนาหน้าคนบนดาวอังคาร

ใบหน้าบนดาวอังคารยังไม่จบ ทำไมบางคนยังเชื่อว่าภูเขาหน้าคนบนดาวอังคารเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ?
หัวข้อข่าวของบีบีซีเมื่อเดือน พฤษภาคม 1998 ได้ถูกนำมาเผยแพร่อีกครั้งหนึ่งพร้อมกับรายงานใหม่ บนหัวข้อเรื่อง ด้วยความสัตย์ไม่มีใบหน้าบนดาวอังคาร ทันทีหลังจากนาซ่าเผยภาพถ่ายภูเขาหน้าคนบน ดาวอังคารล่าสุด ที่ถ่ายโดยยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2001 ภาพที่นาซ่ามั่นใจว่าจะยุติความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ ส่วนหนึ่งว่าภูเขาหน้าคนเป็นประติมากรรม ของชาวอังคารโบราณลงได้อย่างสิ้นเชิง เพราะภาพที่คมชัดภาพนี้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นภูเขาธรรมดาๆ ที่ถูกกัดกร่อนโดยกระแสลม และการแตกของพื้นผิวเมื่อมองจากท้องฟ้า ทำให้ดูคล้ายภาพหน้าคนเท่านั้นเอง
วันที่ 24 พฤษภาคม 2001ช่างเป็นวันที่น่าเศร้าของนักทฤษฎี conspiracy ทั้งหลาย เมื่อนาซ่าเผยแพร่ภาพถ่ายภูเขาหน้าคนบนดาวอังคารที่ชัดเจนที่สุด อามีร์ อเลกซานเดอร์ ขึ้นต้นเหมือนกับเย้ยกันในงานเขียนเรื่อง ภาพใหม่ที่คมชัดลบล้างความเชื่อใบหน้าคนบนดาวอังคารในเวปไซต์ ซึ่งคล้ายกับบทสรุปของ บีบีซี โดย เดวิด ไวท์เฮาส์เมื่อ ปี 1998 ว่า น่าเศร้าที่ไม่มีหลักฐานของสิ่งมีชีวิต ที่ศิวิไลซ์ยุคโบราณ ท่ามกลางภูเขาที่แตกกระจายและเนินทรายแห่งนี้ หลังจากวิเคราะห์ภาพภูเขาหน้าคน ที่ถ่ายโดยยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ ในปี 1998 สมมติฐานของนักทฤษฎี Conspiracy ได้ถูกลบล้างไปแล้ว ด้วยภาพที่คมชัดล่าสุดนี้ หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ฉากหนึ่งของ Conspiracy Theory เท่านั้น

นักดาราศาสตร์เกือบทั้งหมดเห็นว่ามันจบลงแล้ว สำหรับใครที่ยังคงเชื่อว่ามันเป็นใบหน้าคนที่สร้างโดยชาวอังคารแล้วละก็ นาซ่าอยากที่จะบอกว่า โปรดดูภาพนี้ บีบีซี ขึ้นต้นรายงานข่าวเหมือนบทสรุป ไม่ต้องสงสัยเลย ดาวอังคารยังคงมีความลึกลับและความประหลาดอยู่ แต่ภูเขาหน้าคน ไม่ใช่หนึ่งในนั้น อเลกซานเดอร์กล่าวเหมือนกับบอกว่าใครที่ยังเชื่ออยู่ละก็จงเลิกเชื่อเสียเถอะ
เมื่อ 25 ปีก่อน ยานไวกิ้ง 1 โคจรเหนือบริเวณที่เรียกว่าไซโดเนียร์ในระดับความสูง 1,400 กิโลเมตร และถ่ายภาพพื้นผิวเพื่อหาตำแหน่งลงจอด ของยานแลนเดอร์ ซึ่งเป็นยานลูกของยานไวกิ้ง 2 ภาพที่ยานไวกิ้ง 1 ถ่ายได้เป็นภาพพื้นผิวดาวอังคารที่มีกลุ่มของภูเขาหลายลูก สองลูกมีรูปทรงคล้ายพีระมิด ห่างออกไปจากจุดบริเวณนั้นไม่ไกล ปรากฏภาพภูเขาที่เหมือนใบหน้าคน เห็นดวงตา ปาก และจมูก ภาพนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์พิศวงงงงวยกันมาก นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยตั้งสมมุติฐานว่า มันอาจจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่คล้ายคลึงกับใบหน้าสฟิงซ์ หน้ามหาพีระมิดแห่งกีซาในอียิปต์ และภาพพีระมิดนั้นก็คล้ายกับพีระมิดแห่งกีซ่า


ภาพใบหน้าคนที่ยานไวกิ้ง 1 ถ่ายไว้ เมื่อปี 1976
เทียบกับภาพที่ได้จากยาน ยานมาร์ส โกลบอลเซอร์เวเยอร์
ภาพภูมิประเทศบริเวณที่ราบไซโดเนียร์ จะเห็นใบหน้าคน (มุมล่างขวา)
คล้ายกับบริเวณที่ก่อสร้างพีระมิดแห่งกีซ่า

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนั่นหมายถึงว่า ดาวอังคารเคยมีมนุษย์ดาวอังคารอาศัยอยู่และเป็นผู้สร้างภูเขาหน้าคนนี้ และยังมีความเชื่อมโยงกับการสร้าง พีระมิดแห่งกีซ่าด้วย ริชาร์ด ฮอคแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาดาวอังคาร เป็นคนที่เด่นที่สุดในการนำเสนอสมมติฐานนี้ แต่นาซ่าอธิบายว่า ภาพภูเขาหน้าคนนี้เกิดจากการลวงตาของแสงและเงามืด จริงๆแล้วมันเป็นที่ราบสูงธรรมดานี่เอง การโต้เถียงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์สองกลุ่ม มีมาตลอด 25 ปี ต่างผ่ายต่างยกเหตุผลมาสนับสนุนทฤษฎีของตนจน กลายเป็นการโต้เถียงที่ยาวนานในวงการดาราศาสตร์ของศตวรรษเลยทีเดียว
ภาพใบหน้าคนที่ทำให้นาซ่าถูกกล่าวหาจากนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยว่า จงใจปกปิดข้อมูลของดาวอังคาร และการชี้แจงยังไม่มีเหตุผลที่รับฟังได้ นาซ่าเองก็ไม่สบายใจนัก เมื่อเรื่องนี้ขยายวงไปสู่สาธารณะและกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เมื่อเรื่องนี้ถูกจับไปผูกเข้ากับการหายสาบสูญของยานมาร์ส ออฟเซอร์ฟเวอร์ และ ยานมาร์ส โพลา แลนเดอร์ แน่นอนประชาชนผู้เสียภาษีย่อมไม่พอใจ นั่นหมายถึงงบประมาณของนาซ่าอาจถูกตัดลง แม้ว่าด้อกเตอร์ไมเคิล มาลิน หัวหน้าโครงการมาร์ส โกลบอลเซอร์เวเยอร์ พูดไว้ว่า ไม่มีใครในชุมชนวิทยาศาสตร์ใส่ใจกับภาพภูเขา ที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้หรอก และว่าเขาจะเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นก็ต่อเมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์วางอยู่เสียก่อนก็ตาม แต่ทางออกทางเดียวก็คือต้องถ่ายภาพภูเขาหน้าคนที่คมชัดมาให้เห็นกันเท่านั้น
ปี คศ 1998 โอกาสของนาซ่าก็มาถึง ยานมาร์ส โกลบอลเซอร์เวเยอร์ ได้ถ่ายภาพภูเขาหน้าคนด้วยกล้องที่มีความคมชัดกว่ากล้องของยานไวกิ้งถึง 10 เท่า แต่ภาพที่ถ่ายได้ไม่มีร่องรอยของใบหน้าคนเหมือนภาพจากยานไว้กิ้ง 1 พื้นผิวค่อนข้างจะแบนราบ ซึ่งเป็นความแตกต่าง จากภาพจากยานไวกิ้งมากทีเดียว ภาพนี้จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์เพราะความแตกต่างมากจนเกินไปซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เรื่องนี้นาซ่ามายอมรับในภายหลังว่าเป็นเพราะทัศนวิสัยในฤดูหนาว ซึ่งมีเมฆปกคลุม ภาพนี้จึงไม่ชัดเจน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้นาซ่าพยายามแสดงว่าภาพนี้โอเคแล้ว
ในปีเดียวกันนั้นเองยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ได้ถ่ายภาพดวงจันทร์โฟบอสของดาวอังคาร มีภาพหนึ่ง ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนประหลาดใจ นั่นคือภาพแท่งหิน[Monolith] บนพื้นผิวดวงจันทร์โฟบอส ดวงจันทร์ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นดาวเคราะห์น้อย ที่ถูกแรงดึงดูดของดาวอังคารดึงเข้ามาเป็นบริวาร ก่อนหน้านี้ภาพถ่ายพื้นผิวดวงจันทร์โฟบอสจากยานโฟบอส 2 ของรัสเซีย แสดงให้เห็นว่าสภาพพื้นผิวของโฟบอสเป็นรูและหลุมอุกกาบาตอยู่ทั่วไป ไม่มีพื้นผิวส่วนใดที่มีลักษณะทางธรณีที่ผิดแผกแตกต่างออกไป ดังนั้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่า มีแท่งหินปรากฎอยู่บนพื้นผิวโฟบอสจากภาพถ่ายของยาน มาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ จึงเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจมากทีเดียว เงาของแท่งหินในภาพแสดงว่าแท่งหินนี้สูงไม่น้อย

นักวิทยาศาสตร์หลายคนตั้งสมมติฐานว่ามันเป็นไปได้ที่แท่งหินนี้ไม่ได้ถูกธรรมชาติเสกสรรค์ปั้นแต่ง แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แน่นอนภาพลักษณะนี้น่าซ่ามักจะทำเป็นไม่ใส่ใจ ดังนั้นภาพนี้จึงไม่ได้รับการให้ความสำคัญ เช่นเดียวกับภาพใบหน้าคนบนดาวอังคาร ซึ่งนาซ่าไม่ได้ให้ความสำคัญมาตั้งแต่แรก แม้ว่าจะพูดในภายหลังทำนองว่า ภาพใบหน้าหน้าคนช่วยทำให้ผู้คนสนใจการสำรวจดาวอังคารมากขึ้นก็ตาม และนาซ่าอ้างว่าได้พยายามถ่ายภาพภูเขาหน้าคนอย่างมาก แต่ยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ ไม่ค่อยมีโอกาสผ่านจุดนี้บ่อยนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่นาซ่าถูกกดดันจากนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มให้ใส่ใจมากกว่า
แท่งหินประหลาดบนดวงจันทร์โฟบอส เป็นเหตุผลหนึ่งที่จูงใจนักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามศึกษาภาพภูเขาใบหน้าคน เชื่อว่ามันมีความเป็นไปได้ว่า บนดาวอังคารมีสิ่งก่อสร้างจากอารยธรรมของชาวอังคารในอดีตและ ภูเขาหน้าคนและพีระมิดบริเวณไซโดเนียร์เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ชัดเจนที่สุด นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้พยายามเสนอทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้มาเป็นระยะๆ ขณะที่นาซ่ารอโอกาสให้ยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ ถ่ายภาพเพื่อไขปริศนาให้กระจ่างไปเสียที
เดือนพฤษภาคม 2001 ซึ่งเป็นฤดูร้อน มีทัศนวิสัยดีที่สุด ยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ ได้ถ่ายภูเขาหน้าคนอีกครั้งหนึ่ง ภาพที่ถ่ายได้เป็นภาพที่คมชัดมาก จนทีมงานของโครงการมาร์ส โกลบอลเซอร์เวเยอร์ กล่าวว่าเป็นภาพที่ชัดที่สุดในบรรดาภาพทั้งหมดที่ถ่ายโดยยานมาร์ส โกลบอลเซอร์เวเยอร์ เลยทีเดียว นาซ่าได้เผยแพร่ภาพนี้พร้อมข้อเขียนอธิบายด้วยความมั่นใจว่ามันเป็นแค่ที่ราบสูงธรรมดาๆ เวปไซต์ดาราศาสตร์ดังๆรวมทั้งซีเอ็นเอ็นและบีบีซี ต่างลงข่าวไปในแนวเดียวกับความเห็นของนาซ่า จิม การ์วิน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ มาร์ส เอ็กพลอเรชั่นโปรแกรม ชี้ว่ามันเป็นที่ราบสูงธรรมดาๆ เหมือนกับในอเมริกาตะวันตกบริเวณบริเวณ Snake River Plain ในรัฐไอดาโฮที่เรียกว่า Butte "มันทำให้ผมนึกถึง Middle Butte บริเวณ Snake River Plain ของไอดาโฮ" การ์วินกล่าว ที่นั่นลาวาโดมทำให้เกิดที่ราบสูง ซึ่งมันสูงพอๆกับใบหน้าบนดาวอังคาร คำพูดของการ์วิน เหมือนกับการประกาศชัยชนะต่อนักทฤษฎี conpriracy แต่มันกลับเป็นการลั่นกลองรบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อแลนด์ เฟลมมิง ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาดาวอังคารนำภาพ Middle Butte มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับภาพใบหน้าคนบนดาวอังคาร ประเด็นหลักที่เฟลมมิงชี้ให้เห็นก็คือ Symmetry ของภูเขาหน้าคนบนดาวอังคารว่ามันยากที่จะอธิบายว่าเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติและมีความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับ Middle Butte





กล่าวคือขอบด้านข้างของภูเขาหน้าคนทั้งสองด้านซึ่งแสดงโดยเส้นตรงสีแดงมัน Parallel กันและมีระยะทางเป็นพันเมตร จุดแดงแสดงถึงส่วนโค้งที่สม่ำเสมอไม่มีบิดเบี้ยว เฟลมมิงบอกว่าหากภูเขาหน้าคนเกิดจากภูเขาไฟอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกัน เขาก็มีคำถามว่าหินที่ถูกหลอมละลายซึ่งเคลื่อนที่ออกไปนั้นก่อรูปอย่างนั้นได้อย่างไร ในขณะที่ Middle Butte ไม่เป็นเช่นนั้น เฟลมมิง ยังได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่าง Emerald Mound เนินเขาซึ่งสร้างโดยชาวอินเดียนแดงในบริเวณตอนกลางของเทนเนสซี ภูเขาหน้าคนบนดาวอังคาร และ Brandenburg ในนามิเบีย แอฟริกา
Brandenburg เป็นรูปแบบทางธรณีที่เกิดจากหินละลายออกไปทุกทิศทางเป็นรูปไข่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 ไมล์ ใหญ่กว่าภูเขาหน้าคนประมาณ 10 เท่า แต่โครงสร้างขอบเส้นรอบวง ไม่มีความสมดุลย์และขอบของมันบิดเบี้ยวเป็นร้อยๆเมตร ขณะที่ขอบของภูเขาหน้าคนบิดเบี้ยวไม่เกิน 2 เมตร ส่วน Emerald Mound มีบริเวณขอบด้านบนซ้ายลาดลงคล้ายกับภูเขาหน้าคนบนดาวอังคาร แต่ Brandenburg ไม่มีลักษณะเช่นนี้


อย่างไรก็ดีเฟลมมิงไม่ได้สรุปว่าภูเขาหน้าคนเป็นประติมากรรมที่ถูกสร้างขึ้น เพียงแต่โต้แย้งนักวิทยาศาสตร์ที่ยกเอาภาพภูเขาหน้าคน มาเปรียบเทียบกับMiddle Butte ว่าเหมือนกันเท่านั้นและต้องการให้นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ และจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีข้อโต้แย้งจากนาซ่า ก่อนหน้านี้มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนชี้ให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้ว่าภูเขาหน้าคนเป็นโครงร่างใบหน้าคนจริงๆ แต่รายละเอียดบนใบหน้าคือ ปาก จมูก ตา ถูกกระแสลมกัดกร่อนจนพังทลายไม่เหลือไว้ให้เห็นอีก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การกัดกร่อนสฟิงซ์ และพีระมิดกีซา ของกระแสลม เพียงแต่ภูเขาหน้าคนบนดาวอังคารมีอายุมากกว่าสฟิงซ์และพีระมิดหลายสิบเท่า ดังนั้นมันจึงไม่เหลือร่องรอยไว้ให้เห็น
นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นเจ้าของทฤษฎีใบหน้าบนดาวอังคารคือ ริชาร์ด ฮอคแลนด์ เขาวิเคราะห์ภาพใหม่สุดของนาซ่าแล้วยังยืนยันว่า มันเป็นประติมากรรมที่ถูกสร้างขึ้น ก่อนหน้านี้ฮอคแลนด์เคยชี้ว่าภาพใบหน้าบนดาวอังคารเป็นใบหน้าของสิงโต ไม่ใช่หน้าคน






เมื่อเขาใช้คอมพิวเตอร์สามมิติทดสอบใบหน้าสฟิงซ์และใบหน้าบนดาวอังคาร ฮอคแลนด์สรุปว่ามันมีโครงร่างที่คล้ายคลึงกัน และทฤษฎีของฮอคแลนด์ชี้ว่า สิ่งก่อสร้างบริเวณไซโดเนียร์มันเป็นแปลนเดียวกันกับบริเวณกีซ่า ในอียิปต์ อย่างไรก็ดีภาพใบหน้าบนดาวอังคารล่าสุด ซึ่งไม่ปรากฎ จมูก ปาก และ ตา เหมือนภาพจากยานไวกิ้ง 1 คงเป็นเรื่องยากที่จะจูงใจคนทั่วไปให้เชื่อว่า ครั้งหนึ่งมันเป็นภูเขาหน้าคนหรือสิงโต ที่ถูกสร้างขึ้น อย่างไรก็ดีประเด็น Symmetry ของที่ราบสูงของนาซ่าแห่งนี้เป็นเรื่องน่าคิด ดาวอังคารมีลักษณะทางธรณีที่ประหลาดหลายแห่ง เช่น สุสานหิน และตัวหนอนในรอยแตกของพื้นผิว ซึ่งคำอธิบายของนักธรณีวิทยายังไม่เป็นที่ยอมรับทั่วไป



ใบหน้าบนดาวอังคารก็ยังต้องหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้อย่างที่เฟลมมิงว่าไว้ เพราะฉะนั้น มันคงยังไม่จบ อย่างที่นาซ่าอยากให้จบ

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Red Tide ปรากฎการณ์ขี้ปลาวาฬ

Red Tide วายร้ายแห่งท้องทะเล

พลันเมื่อท้องทะเลรอบเกาะฮ่องกงเป็นสีแดง ปลาที่เลี้ยงไว้ก็พร้อมใจกันตายอย่างมากมาย ประชาชนชาวฮ่องกงเริ่มหวาดระแวง ในขณะที่ทางการก็ออกประกาศเตือน ให้หลีกเลี่ยงการบริโภคปลาทะเล รัฐบาลฮ่องกงประกาศปิดชายหาดสำคัญ 5 แห่ง และหลังจากนั้นไม่นาน ทะเลสีแดงก็ไปถึง ชายฝั่งตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ ปลา กุ้ง ปู หอย เสียชีวิต เมื่อน้ำทะเลเปลี่ยนจากสีครามเป็นสีแดง ทั้งหมดนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Red Tide


Red Tide คืออะไร ?


red tide เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจาก การเพิ่มจำนวนประชากร อย่างมหาศาล ของสาหร่ายเซลล์เดียวในทะเล หรือที่รู้จักกันดีว่าคือ algae bloom จำนวนประชากรของสาหร่ายเซลล์เดียวที่มากมาย ทำให้เห็นน้ำทะเลเป็นสีแดง

สาหร่ายเซลล์เดียวที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ red tide โดยมากเป็นสาหร่ายเซลล์เดียวกลุ่ม dinoflagellate สาหร่ายเซลล์เดียวกลุ่มนี้มีหางช่วยในการเคลื่อนที่ในน้ำ มักจะมีคลอโรฟิลด์สำหรับสังเคราะห์แสง และพวกมันก็จะผลิตสารพิษออกมาด้วย โดยทั่วไป สาหร่ายเซลล์เดียวพวกนี้จะสืบพันธุ์โดยการแบ่งตัว แต่ในยามที่อาหารขาดแคลน บางชนิดสามารถเปลี่ยนไปสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ซึ่งจะทำให้การเพิ่มของจำนวนประชากร เป็นไปได้ช้าลง หลาย ๆ ชนิดมีช่วงชีวิตหลายขั้นตอน มันอาจซ่อนตัวอยู่ในโคลนที่ก้นทะเล รอจนกระทั่งสภาวะเหมาะสม แล้วค่อยโผล่ออกมาก็ได้

สาหร่ายเซลล์เดียวบางชนิดที่ก่อให้เกิด red tide


Image:Ceratium.gif Ceratium


Image:Gymnodin.gifGymnodinium


Image:Protoper.gifProtoperidinium


ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่า red tide แผ่ขยายออกไปมากขึ้น dinoflagellate ที่มีพิษได้เพิ่มจาก 22 ชนิด เป็น 55 ชนิดทั่วโลก ในทศวรรษที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ได้ขยายจากยุโรป และสหรัฐอเมริกา ไปยังเอเชีย และทวีปอเมริกาใต้ สำหรับเหตุผลในการขยายขอบเขตของปรากฏการณ์นี้ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก มีคำอธิบายอยู่ 3 ประการคือ

  1. สาหร่ายเซลล์เดียว ติดไปกับเรือที่ใช้น้ำเป็นอับเฉา
  2. กระแสน้ำช่วยให้เกิดการสะสมของ ประชากรสาหร่ายเซลล์เดียว
  3. มลพิษจากมนุษย์ ช่วยเติมสารอาหารของสาหร่ายเซลล์เดียวลงในทะเล

สิ่งที่ควรรู้อีกอย่างก็คือ คำว่า algae bloom หรือ red tide จะทำให้นึกว่า เป็นการเพิ่มของประชากรสาหร่ายเซลล์เดียวอย่างมาก จนเรามองเห็นเป็นสีแดงได้ แต่ที่จริงแล้ว สาหร่ายเซลล์เดียวก็มีเม็ดสีอื่น ๆ จนบางครั้ง เราจะเห็นเป็นสีอื่น ๆ รวมทั้งไม่มีสีเลยก็มี นอกจากนั้น ประชากรสาหร่ายเซลล์เดียวเพียงไม่กี่เซลล์ต่อลิตร ก็ก่อให้เกิดสารพิษได้เช่นกัน

กลไกของ Red Tide


ปรากฏการณ์ red tide เกิดจากความหนาแน่นกว่าปกติ ของบรรดาสาหร่ายเซลล์เดียว โดยมากจะเป็น Gymnodinium breve หรือ จิมโนดิเนียม เบรเว เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่คนควบคุมไม่ได้ และก็ไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ จะเกิดขึ้นเมื่อ อุณหภูมิ ความเค็ม และสารอาหารในทะเล อยู่ในระดับที่เหมาะสม Gymnodinium breve ก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นมาอย่างมากมาย

จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดถึง การผสมผสานของปัจจัยเหล่านี้ในการก่อให้เกิด red tide แต่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่า เมื่ออุณหภูมิของน้ำทะเลสูง ลมสงบ ไม่มีฝน ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นต่อการเกิด red tide นอกจากนั้นก็มีความคิดกันว่า คนเองก็อาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์นี้ โดยการทิ้งปฏิกูลต่าง ๆ ลงในทะเล อีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่รู้ก็คือ ทำไมสาหร่ายเซลล์เดียวพวกนี้ถึงผลิตสาพิษออกมา และผลิตขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อสัตว์น้ำประเภทมีเปลือกที่กินอาหารด้วยการกรอง รวมทั้งปลาที่ใช้เหงือกกรองน้ำ ก็จะได้รับสารพิษพวกนี้เข้าไป และสารพิษก็จะมีความเข้มข้นขึ้น เมื่อคนมาบริโภคสัตว์น้ำเหล่านี้ ก็มีโอกาสเสีย ชีวิตได้


ผลกระทบของ Red Tide


Image:Manatee.jpg

จากการที่เมื่อเกิดปรากฏการณ์ red tide ก็จะทำให้สัตว์น้ำได้รับสารพิษ ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สัตว์น้ำเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก รวมทั้งปลาวาฬหลังตระโหงก โลมาหัวขวด และพยูน ในปี พ.ศ.2539 พยูนในฟลอริดาตายเพราะ red tide เป็นจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพยูนทั้งหมดที่นั่น และโลมาอีก 162 ตัวตายในเม็กซิโก

Image:Redtide_fish.jpg

ส่วนในปีนี้ก็ทำให้ปลาที่เลี้ยงในฮ่องกงตายไป 1,500 ตัน คิดเป็นครึ่งหนึ่งของที่ฮ่องกงผลิตได้เมื่อปีที่แล้ว ก่อให้เกิดการสูญเสียเป็นมูลค่าประมาณ 10.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยังทำให้เกิดข้อกังขาอีกด้วยว่า จะสามารถบริโภคปลาทะเลได้หรือไม่ ที่จีนแผ่นดินใหญ่เองก็สูญเสียปลาไปแล้ว 350 ตัน คิดเป็นค่าเสียหายได้มากกว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

อีกปรากฏการณ์ที่คล้ายกับ red tide มีชื่อว่า brown tide เกิดในแบบเดียวกัน แต่จะไม่มีสารพิษเกิดขึ้น ผลกระทบคือ จะทำให้แสงแดดทะลุผ่านน้ำทะเลลงไปได้น้อยลง หญ้าทะเล และพืชน้ำที่พื้นทะเลจะลดจำนวนลง ระดับออกซิเจนก็จะต่ำลง ถิ่นที่อยู่อาศัยเริ่มไม่เหมาะสมกับสัตว์ทะเลบางชนิด ระบบ นิเวศล่มสลาย เป็นการสูญเสียที่รุนแรง

ไม่เพียงการสูญเสียทรัพยากรสัตว์น้ำเท่านั้น red tide ยังทำให้การท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่งลดลง การล่องเรือ การตกปลา ก็ได้รับผลกระทบ ร้านอาหารทะเลเองก็กระทบกระเทือนไม่แพ้กัน เนื่องจากประชาชนไม่มั่นใจในการบริโภคอาหารทะเล ไม่มั่นใจที่จะมาเที่ยวทะเล ถึงแม้จะเป็นบริเวณที่ปลอดภัยก็ตาม สำหรับคนทั่วไปที่บริโภค หอยกาบ หอยนางรม ปู ที่ได้รับสารพิษก็จะป่วยอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราบริโภคสัตว์น้ำที่จับขึ้นมาสด ๆ ไม่ได้ตายในน้ำ

สารพิษจะยังไม่ถูกดูดซับเข้าไปในเนื้อเยื่อของสัตว์น้ำ เราก็ยังคงปลอดภัย อาการทั่วไปสำหรับผู้ที่ได้รับสารพิษนี้ก็คือ มีอาการชาบริเวณรอบ ๆ ปาก และขยายไปยังใบหน้า และคอภายในหนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังจากได้รับพิษ ตามมาด้วยการปวดหัว วิงเวียน คลื่นเหียน และรู้สึกอ่อนเพลีย อาการจะเกิดขึ้นบริเวณปลายนิ้ว และลิ้นด้วย ต่อมาจะเคลื่อนไหวลำบาก หายใจติดขัด เกิดอาการหัวใจล้มเหลว เป็นอัมพาตบริเวณช่องอก และจะเสียชีวิตภายใน 12 ชั่วโมง ถ้าคิดว่าได้รับสารพิษจาก red tide ก็ทำให้สำรอกออกมา อย่าดื่มแอลกอฮอล์ และรีบไปพบแพทย์ทันที


เราควรทำอย่างไร ?


ปรากฏการณ์ red tide ไม่ได้เกิดในทุกชายฝั่งทะเล เราจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องงดการไปเที่ยวทะเลแต่อย่างใด ชาวประมงไทยก็รู้จักปรากฏการณ์นี้กันมานานแล้วในชื่อของ ขี้ปลาวาฬ เมืองไทยไม่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้นัก ผิดกับในฮ่องกง เนื่องจากบริเวณเลี้ยงปลามีจำกัด เมื่อเกิดปรากฏการณ์ขึ้น ปลาส่วนใหญ่จึงเสียชีวิต เพราะมีออกซิเจนละลายลงไปในน้ำน้อย น้ำใหม่ ๆ ไม่ค่อยไหลเข้าไป ผลกระทบจึงรุนแรง ชาวประมงใน ฮ่องกง และจีนก็พยายามเติมอากาศช่วยอยู่

ทางฮ่องกง และจีนยังบอกด้วยว่า red tide ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้รุนแรงที่สุด และเกิดเร็วกว่าทุกครั้ง ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจาก ปรากฏการณ์เอล นิญโญ่ด้วย รวมทั้งการทิ้งมลพิษลงสู่ท้องทะเลโดยฝีมือมนุษย์เอง

ถึงกระนั้น ปรากฏการณ์ red tide ก็ยังคงเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มนุษย์ยังรู้จักไม่มากนัก ไม่รู้กลไกที่แท้จริง ไม่รู้วิธีการควบคุม นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกกำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่มากมาย ในไม่ช้าเราคงได้คำตอบที่แท้จริง ส่วนประชาชนอย่างเรา ก็ควรทำใจให้สบายเข้าไว้ ไม่ตื่นตกใจเกินเหตุ และไม่ใช่ว่า เมื่อเราเห็นน้ำเป็นสีแดง แล้วจะทึกทักว่าเป็น red tide ทันที บางครั้ง สีแดงที่เราเห็นนั้นก็มาจากสาเหตุอื่น (รวมทั้งการทิ้งของเสียจากโรงงานด้วย)

วงกลมปริศนา

วงกลมปริศนา

บริเวณทุ่งนาทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ได้พบวงกลมแปลกๆขนาดใหญ่มีรูปแบบโครงสร้างทรงเรขาคณิตประณีตสวยงาม ทำให้คิดว่าลักษณะดังกล่าว เหมือนจะไม่ใช่ฝีมือมนุษย์เพราะเกิดขึ้นชั่วข้ามคืน

รูปแบบที่พบและตำนานดั้งเดิม

วงกลมปริศนา มักจะเกิดบนทุ่งหญ้า หรือทุ่งข้าวสาลี มีลักษณะถูกกดทับ(จากการกระทุ้งลงไปบนพื้น) ให้เอียงลงและต้นพืชจะไม่เสียหายนัก โครงสร้างรูปแบบมีขอบ ส่วนใหญ่เป็นวงกลม บางแห่งมีความซับซ้อนน่าสนใจ มีสัญลักษณ์เกี่ยวข้องไปในหลายๆด้าน ดูคล้ายกับต้องใช้เวลานานมากในการกระทำ

พัฒนาการรูปแบบใหม่ มีความซับซ้อนมากขึ้น

ตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา จากรูปแบบเดิมที่มีวงเดียว เกิดรูปแบบใหม่เป็น2-3 วงซ้อนกัน บางแห่งมีเป็นลักษณะแฝด 4 วงจนกระทั่ง มีแบบวงแหวนอยู่ด้านนอก มีแบบหมุนวนเข้า-ออก คล้ายการเคลื่อนตัวหมุนตามเข็มนาฬิกาและหมุนทวนเข็มนาฬิกา มีการซ้อนกันของวงกลม ทำให้มีความหลากหลายมากขึ้น

นอกจากนั้นยังมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็นหลายพันฟุต พบว่าวงกลมปริศนาในยุคนี้มีความประณีตมากขึ้น มีองค์ประกอบที่ละเอียดลออมากขึ้น เรียกว่า Pictograms (สัญลักษณ์ภาพที่เหมือนธรรมชาติ) มีแม้กระทั่ง หน้าคนยิ้ม ดอกไม้และข้อความ ซึ่งต่างไปจากอดีต

ยังพบวงกลมปริศนาทีมีความทันสมัยเกี่ยวกับ สมการทางคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์

เมื่อมาหาค่า ระยะต่างๆมีความถูกต้องในทางองค์ประกอบและตำแหน่งอย่าง

อัศจรรย์ไม่ว่าจากเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม วงกลมชั้นนอกชั้นในถูกต้องตามหลักการ

ทางเรขาคณิต บางแห่งมีเส้นที่บางเบาไม่สามารถที่จะทำโดยรถไถของชาวนาได้

ฤดูกาลและแหล่งที่พบวงกลมปริศนา

ครั้งแรกๆพบทางตอนใต้ของ อังกฤษ ที่เมือง Hampshire และ Wiltshire ยังพบ

อีกหลายแห่งบริเวณใกล้กับ Avebury และ Stonehenge นอกจากนั้นพบขึ้นเรื่อยๆ

ในประเทศอเมริกา แคนาดา แม้กระทั่ง ญี่ปุ่นและอินเดีย ก็มีรายงานการพบ

โดยเป็นที่น่าสังเกตว่ามักจะเกิดขึ้นระหว่างช่วงเดือน เมษายน ถึงกันยายน พร้อมๆกันหลายจุดในตอนกลางคืน บริเวณที่พบอาจเป็นไร่ข้าวโพด ไร่ข้าวสาลี

ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ (Rye) และไร่ใบยาสูบ ตำแหน่งที่พบส่วนใหญ่ ใกล้เนินเขา

เป็นเงื่อนไขที่จะอธิบายการเกิดขึ้นตามทฤษฎี Wind theory(ที่ผู้พบมักกล่าวอ้าง)

ทฤษฎีการเกิดวงกลมปริศนา

ด้วยเพื่อให้เกิดความเชื่อถือและไขข้อข้องใจ ผู้วชาญ นักวิทยาศาสตร์ และ สถาบันการค้นคว้าจึงพยายามที่จะไขปริศนาดังกล่าว หาข้อพิสูจน์ด้านทฤษฎีมารองรับการเกิดขึ้นของวงกลมปริศนา ด้วยความเห็นที่หลากหลาย และมีรูปแบบที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ซับซ้อนสวยงามต่างกัน

ทฤษฎีเกิดจากมนุษย์ต่างดาว

มักพบว่าเป็นคำอธิบายจากคนบางกลุ่ม ในเรื่องนี้ เกิดจากการกระทำของ UFOsแต่ก็ยังมีการโต้แย้งกันอย่างกว้างขวางมากมาย ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมี รูปแบบ สิ่งทรงปัญญาจากดินแดนอื่นๆได้เข้ามาแสดงการกระทำดังกล่าวไว้ ด้วยการทิ้งร่องรอยการลงจอดของยานหรือเป็นการทิ้งร่องรอยของ ข้อความที่จะสื่อสารกับมนุษย์ โดยมีการอ้างถึงมีคนเห็นการเห็นแสงจาก UFOsส่องออกมาหลังจากนั้นตอนเช้า ก็พบการเกิดขึ้น ของวงกลมปริศนาบริเวณนั้น

ทฤษฎีเกิดจากลม

เนื้อหาจากข้อสรุปทางด้านวิทยาศาสตร์ เป็นจำนวนมากแสดงเหตุผลการเกิดขึ้นของวงกลมปริศนาจากลมหมุนขนาดเล็ก (Swirling winds) หรืออาจเรียกว่า Vortices (เกิดขึ้นคล้ายสะดือทะเล) โดยมีการหมุนปั่นเป็นแกนทำให้เกิดพลังงานในอากาศ (เหมือนลมบ้าหมู) แล้วกดลงสู่ ผิวพื้นที่มีต้นหญ้า (หรือต้นไม้เล็กๆ)

ทำให้แบนราบลง

โดยลักษณะดังกล่าวมีเกิดขึ้นทั่วไปในทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ด้วยข้อมูลจากการสำรวจของสถาบัน Tornado and Storm Research Organization (TORRO) ประเทศอังกฤษ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงพลังงานที่เรียกว่า Plasma Vortex Theory

อธิบายได้ว่า ขณะที่อนุภาพฝุ่น (Dust particles) จับตัวกันหมุนปั่น เกิดการเปลี่ยนแปลงของอากาศ มีความสามารถที่จะทำให้เกิดแสงเรืองๆได้ ดั่งเช่นที่หลายคนเคยเห็นแสงลอยอยู่ตามท้องทุ่งเป็นก้อนๆ จึงอาจตีความว่าเป็นยานของมนุษย์ต่างดาว กำลังมาสร้างวงกลมปริศนา

ท้องทุ่งบางแห่งของประเทศเรา มีรายงานในทางภาคเหนือ และภาคอีสาน ที่เคยเห็นปรากฎการณ์ของแสงลอยไปมาเช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ crop circle ก็ยังคงเป็นปริศนาให้ค้นหากันต่อไปค่ะ

คืนหนึ่งในปี 1972 ณ ประเทศอังกฤษ อาเทอร์ ชัตเติลวูด(Arthur Shuttlewood) กับบริซ บอนด์(Bryce Bond) ซุ่มซ่อนตัวบริเวณเนินเขาสตาร์ฮิล ใกล้เวสมินเตอร์ เพื่อเฝ้าดูปรากฏการณ์แสงประหลาด ซึ่งเกิดขึ้นในแถบนั้นมานานเกือบทศวรรษ เชื่อกันว่ามันคือยูเอฟโอ คืนนั้นทั้งสองผิดหวังเมื่อไม่พบแสงประหลาด แต่ได้รับการชดเชยด้วยร่องรอยบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกัน นั่นคือ พืชที่ล้มเป็นวงกลม ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า Crop Circles

สี่ปีต่อมาในเดือนกันยายน 1976 เอดวิน เฟอร์(Edwin Fuhr) ชาวนาแห่งแลงเกนเบิร์ก(Langenburg) อ้างว่า เห็นยานรูปโดมสีเงินหลายลำ บินอยู่เหนือทุ่งนาหลังจากที่ยานเหล่านี้จากไปแล้ว เขาก็พบครอปเซอร์เคิลหลายแห่งในบริเวณนั้น นี่คือเรื่องราวแรกเริ่มของปรากฏการณ์วงกลมพืชบนท้องทุ่งของอังกฤษ ที่ผู้คนมากมายเชื่อว่าเป็นหนึ่งในปริศนาลึกลับของโลกอยู่ทุกวันของโลกอยู่ทุกวันนี้