วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปริศนาหน้าคนบนดาวอังคาร

ใบหน้าบนดาวอังคารยังไม่จบ ทำไมบางคนยังเชื่อว่าภูเขาหน้าคนบนดาวอังคารเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ?
หัวข้อข่าวของบีบีซีเมื่อเดือน พฤษภาคม 1998 ได้ถูกนำมาเผยแพร่อีกครั้งหนึ่งพร้อมกับรายงานใหม่ บนหัวข้อเรื่อง ด้วยความสัตย์ไม่มีใบหน้าบนดาวอังคาร ทันทีหลังจากนาซ่าเผยภาพถ่ายภูเขาหน้าคนบน ดาวอังคารล่าสุด ที่ถ่ายโดยยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2001 ภาพที่นาซ่ามั่นใจว่าจะยุติความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ ส่วนหนึ่งว่าภูเขาหน้าคนเป็นประติมากรรม ของชาวอังคารโบราณลงได้อย่างสิ้นเชิง เพราะภาพที่คมชัดภาพนี้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นภูเขาธรรมดาๆ ที่ถูกกัดกร่อนโดยกระแสลม และการแตกของพื้นผิวเมื่อมองจากท้องฟ้า ทำให้ดูคล้ายภาพหน้าคนเท่านั้นเอง
วันที่ 24 พฤษภาคม 2001ช่างเป็นวันที่น่าเศร้าของนักทฤษฎี conspiracy ทั้งหลาย เมื่อนาซ่าเผยแพร่ภาพถ่ายภูเขาหน้าคนบนดาวอังคารที่ชัดเจนที่สุด อามีร์ อเลกซานเดอร์ ขึ้นต้นเหมือนกับเย้ยกันในงานเขียนเรื่อง ภาพใหม่ที่คมชัดลบล้างความเชื่อใบหน้าคนบนดาวอังคารในเวปไซต์ ซึ่งคล้ายกับบทสรุปของ บีบีซี โดย เดวิด ไวท์เฮาส์เมื่อ ปี 1998 ว่า น่าเศร้าที่ไม่มีหลักฐานของสิ่งมีชีวิต ที่ศิวิไลซ์ยุคโบราณ ท่ามกลางภูเขาที่แตกกระจายและเนินทรายแห่งนี้ หลังจากวิเคราะห์ภาพภูเขาหน้าคน ที่ถ่ายโดยยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ ในปี 1998 สมมติฐานของนักทฤษฎี Conspiracy ได้ถูกลบล้างไปแล้ว ด้วยภาพที่คมชัดล่าสุดนี้ หรือว่ามันเป็นเพียงแค่ฉากหนึ่งของ Conspiracy Theory เท่านั้น

นักดาราศาสตร์เกือบทั้งหมดเห็นว่ามันจบลงแล้ว สำหรับใครที่ยังคงเชื่อว่ามันเป็นใบหน้าคนที่สร้างโดยชาวอังคารแล้วละก็ นาซ่าอยากที่จะบอกว่า โปรดดูภาพนี้ บีบีซี ขึ้นต้นรายงานข่าวเหมือนบทสรุป ไม่ต้องสงสัยเลย ดาวอังคารยังคงมีความลึกลับและความประหลาดอยู่ แต่ภูเขาหน้าคน ไม่ใช่หนึ่งในนั้น อเลกซานเดอร์กล่าวเหมือนกับบอกว่าใครที่ยังเชื่ออยู่ละก็จงเลิกเชื่อเสียเถอะ
เมื่อ 25 ปีก่อน ยานไวกิ้ง 1 โคจรเหนือบริเวณที่เรียกว่าไซโดเนียร์ในระดับความสูง 1,400 กิโลเมตร และถ่ายภาพพื้นผิวเพื่อหาตำแหน่งลงจอด ของยานแลนเดอร์ ซึ่งเป็นยานลูกของยานไวกิ้ง 2 ภาพที่ยานไวกิ้ง 1 ถ่ายได้เป็นภาพพื้นผิวดาวอังคารที่มีกลุ่มของภูเขาหลายลูก สองลูกมีรูปทรงคล้ายพีระมิด ห่างออกไปจากจุดบริเวณนั้นไม่ไกล ปรากฏภาพภูเขาที่เหมือนใบหน้าคน เห็นดวงตา ปาก และจมูก ภาพนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์พิศวงงงงวยกันมาก นักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยตั้งสมมุติฐานว่า มันอาจจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่คล้ายคลึงกับใบหน้าสฟิงซ์ หน้ามหาพีระมิดแห่งกีซาในอียิปต์ และภาพพีระมิดนั้นก็คล้ายกับพีระมิดแห่งกีซ่า


ภาพใบหน้าคนที่ยานไวกิ้ง 1 ถ่ายไว้ เมื่อปี 1976
เทียบกับภาพที่ได้จากยาน ยานมาร์ส โกลบอลเซอร์เวเยอร์
ภาพภูมิประเทศบริเวณที่ราบไซโดเนียร์ จะเห็นใบหน้าคน (มุมล่างขวา)
คล้ายกับบริเวณที่ก่อสร้างพีระมิดแห่งกีซ่า

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนั่นหมายถึงว่า ดาวอังคารเคยมีมนุษย์ดาวอังคารอาศัยอยู่และเป็นผู้สร้างภูเขาหน้าคนนี้ และยังมีความเชื่อมโยงกับการสร้าง พีระมิดแห่งกีซ่าด้วย ริชาร์ด ฮอคแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาดาวอังคาร เป็นคนที่เด่นที่สุดในการนำเสนอสมมติฐานนี้ แต่นาซ่าอธิบายว่า ภาพภูเขาหน้าคนนี้เกิดจากการลวงตาของแสงและเงามืด จริงๆแล้วมันเป็นที่ราบสูงธรรมดานี่เอง การโต้เถียงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์สองกลุ่ม มีมาตลอด 25 ปี ต่างผ่ายต่างยกเหตุผลมาสนับสนุนทฤษฎีของตนจน กลายเป็นการโต้เถียงที่ยาวนานในวงการดาราศาสตร์ของศตวรรษเลยทีเดียว
ภาพใบหน้าคนที่ทำให้นาซ่าถูกกล่าวหาจากนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยว่า จงใจปกปิดข้อมูลของดาวอังคาร และการชี้แจงยังไม่มีเหตุผลที่รับฟังได้ นาซ่าเองก็ไม่สบายใจนัก เมื่อเรื่องนี้ขยายวงไปสู่สาธารณะและกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เมื่อเรื่องนี้ถูกจับไปผูกเข้ากับการหายสาบสูญของยานมาร์ส ออฟเซอร์ฟเวอร์ และ ยานมาร์ส โพลา แลนเดอร์ แน่นอนประชาชนผู้เสียภาษีย่อมไม่พอใจ นั่นหมายถึงงบประมาณของนาซ่าอาจถูกตัดลง แม้ว่าด้อกเตอร์ไมเคิล มาลิน หัวหน้าโครงการมาร์ส โกลบอลเซอร์เวเยอร์ พูดไว้ว่า ไม่มีใครในชุมชนวิทยาศาสตร์ใส่ใจกับภาพภูเขา ที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้หรอก และว่าเขาจะเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นก็ต่อเมื่อเห็นเฟอร์นิเจอร์วางอยู่เสียก่อนก็ตาม แต่ทางออกทางเดียวก็คือต้องถ่ายภาพภูเขาหน้าคนที่คมชัดมาให้เห็นกันเท่านั้น
ปี คศ 1998 โอกาสของนาซ่าก็มาถึง ยานมาร์ส โกลบอลเซอร์เวเยอร์ ได้ถ่ายภาพภูเขาหน้าคนด้วยกล้องที่มีความคมชัดกว่ากล้องของยานไวกิ้งถึง 10 เท่า แต่ภาพที่ถ่ายได้ไม่มีร่องรอยของใบหน้าคนเหมือนภาพจากยานไว้กิ้ง 1 พื้นผิวค่อนข้างจะแบนราบ ซึ่งเป็นความแตกต่าง จากภาพจากยานไวกิ้งมากทีเดียว ภาพนี้จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์เพราะความแตกต่างมากจนเกินไปซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เรื่องนี้นาซ่ามายอมรับในภายหลังว่าเป็นเพราะทัศนวิสัยในฤดูหนาว ซึ่งมีเมฆปกคลุม ภาพนี้จึงไม่ชัดเจน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้นาซ่าพยายามแสดงว่าภาพนี้โอเคแล้ว
ในปีเดียวกันนั้นเองยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ได้ถ่ายภาพดวงจันทร์โฟบอสของดาวอังคาร มีภาพหนึ่ง ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนประหลาดใจ นั่นคือภาพแท่งหิน[Monolith] บนพื้นผิวดวงจันทร์โฟบอส ดวงจันทร์ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นดาวเคราะห์น้อย ที่ถูกแรงดึงดูดของดาวอังคารดึงเข้ามาเป็นบริวาร ก่อนหน้านี้ภาพถ่ายพื้นผิวดวงจันทร์โฟบอสจากยานโฟบอส 2 ของรัสเซีย แสดงให้เห็นว่าสภาพพื้นผิวของโฟบอสเป็นรูและหลุมอุกกาบาตอยู่ทั่วไป ไม่มีพื้นผิวส่วนใดที่มีลักษณะทางธรณีที่ผิดแผกแตกต่างออกไป ดังนั้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่า มีแท่งหินปรากฎอยู่บนพื้นผิวโฟบอสจากภาพถ่ายของยาน มาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ จึงเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจมากทีเดียว เงาของแท่งหินในภาพแสดงว่าแท่งหินนี้สูงไม่น้อย

นักวิทยาศาสตร์หลายคนตั้งสมมติฐานว่ามันเป็นไปได้ที่แท่งหินนี้ไม่ได้ถูกธรรมชาติเสกสรรค์ปั้นแต่ง แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แน่นอนภาพลักษณะนี้น่าซ่ามักจะทำเป็นไม่ใส่ใจ ดังนั้นภาพนี้จึงไม่ได้รับการให้ความสำคัญ เช่นเดียวกับภาพใบหน้าคนบนดาวอังคาร ซึ่งนาซ่าไม่ได้ให้ความสำคัญมาตั้งแต่แรก แม้ว่าจะพูดในภายหลังทำนองว่า ภาพใบหน้าหน้าคนช่วยทำให้ผู้คนสนใจการสำรวจดาวอังคารมากขึ้นก็ตาม และนาซ่าอ้างว่าได้พยายามถ่ายภาพภูเขาหน้าคนอย่างมาก แต่ยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ ไม่ค่อยมีโอกาสผ่านจุดนี้บ่อยนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่นาซ่าถูกกดดันจากนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มให้ใส่ใจมากกว่า
แท่งหินประหลาดบนดวงจันทร์โฟบอส เป็นเหตุผลหนึ่งที่จูงใจนักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามศึกษาภาพภูเขาใบหน้าคน เชื่อว่ามันมีความเป็นไปได้ว่า บนดาวอังคารมีสิ่งก่อสร้างจากอารยธรรมของชาวอังคารในอดีตและ ภูเขาหน้าคนและพีระมิดบริเวณไซโดเนียร์เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ชัดเจนที่สุด นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้พยายามเสนอทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้มาเป็นระยะๆ ขณะที่นาซ่ารอโอกาสให้ยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ ถ่ายภาพเพื่อไขปริศนาให้กระจ่างไปเสียที
เดือนพฤษภาคม 2001 ซึ่งเป็นฤดูร้อน มีทัศนวิสัยดีที่สุด ยานมาร์ส โกลบอล เซอร์เวย์เยอร์ ได้ถ่ายภูเขาหน้าคนอีกครั้งหนึ่ง ภาพที่ถ่ายได้เป็นภาพที่คมชัดมาก จนทีมงานของโครงการมาร์ส โกลบอลเซอร์เวเยอร์ กล่าวว่าเป็นภาพที่ชัดที่สุดในบรรดาภาพทั้งหมดที่ถ่ายโดยยานมาร์ส โกลบอลเซอร์เวเยอร์ เลยทีเดียว นาซ่าได้เผยแพร่ภาพนี้พร้อมข้อเขียนอธิบายด้วยความมั่นใจว่ามันเป็นแค่ที่ราบสูงธรรมดาๆ เวปไซต์ดาราศาสตร์ดังๆรวมทั้งซีเอ็นเอ็นและบีบีซี ต่างลงข่าวไปในแนวเดียวกับความเห็นของนาซ่า จิม การ์วิน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ มาร์ส เอ็กพลอเรชั่นโปรแกรม ชี้ว่ามันเป็นที่ราบสูงธรรมดาๆ เหมือนกับในอเมริกาตะวันตกบริเวณบริเวณ Snake River Plain ในรัฐไอดาโฮที่เรียกว่า Butte "มันทำให้ผมนึกถึง Middle Butte บริเวณ Snake River Plain ของไอดาโฮ" การ์วินกล่าว ที่นั่นลาวาโดมทำให้เกิดที่ราบสูง ซึ่งมันสูงพอๆกับใบหน้าบนดาวอังคาร คำพูดของการ์วิน เหมือนกับการประกาศชัยชนะต่อนักทฤษฎี conpriracy แต่มันกลับเป็นการลั่นกลองรบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อแลนด์ เฟลมมิง ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาดาวอังคารนำภาพ Middle Butte มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับภาพใบหน้าคนบนดาวอังคาร ประเด็นหลักที่เฟลมมิงชี้ให้เห็นก็คือ Symmetry ของภูเขาหน้าคนบนดาวอังคารว่ามันยากที่จะอธิบายว่าเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติและมีความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับ Middle Butte





กล่าวคือขอบด้านข้างของภูเขาหน้าคนทั้งสองด้านซึ่งแสดงโดยเส้นตรงสีแดงมัน Parallel กันและมีระยะทางเป็นพันเมตร จุดแดงแสดงถึงส่วนโค้งที่สม่ำเสมอไม่มีบิดเบี้ยว เฟลมมิงบอกว่าหากภูเขาหน้าคนเกิดจากภูเขาไฟอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกัน เขาก็มีคำถามว่าหินที่ถูกหลอมละลายซึ่งเคลื่อนที่ออกไปนั้นก่อรูปอย่างนั้นได้อย่างไร ในขณะที่ Middle Butte ไม่เป็นเช่นนั้น เฟลมมิง ยังได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่าง Emerald Mound เนินเขาซึ่งสร้างโดยชาวอินเดียนแดงในบริเวณตอนกลางของเทนเนสซี ภูเขาหน้าคนบนดาวอังคาร และ Brandenburg ในนามิเบีย แอฟริกา
Brandenburg เป็นรูปแบบทางธรณีที่เกิดจากหินละลายออกไปทุกทิศทางเป็นรูปไข่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 ไมล์ ใหญ่กว่าภูเขาหน้าคนประมาณ 10 เท่า แต่โครงสร้างขอบเส้นรอบวง ไม่มีความสมดุลย์และขอบของมันบิดเบี้ยวเป็นร้อยๆเมตร ขณะที่ขอบของภูเขาหน้าคนบิดเบี้ยวไม่เกิน 2 เมตร ส่วน Emerald Mound มีบริเวณขอบด้านบนซ้ายลาดลงคล้ายกับภูเขาหน้าคนบนดาวอังคาร แต่ Brandenburg ไม่มีลักษณะเช่นนี้


อย่างไรก็ดีเฟลมมิงไม่ได้สรุปว่าภูเขาหน้าคนเป็นประติมากรรมที่ถูกสร้างขึ้น เพียงแต่โต้แย้งนักวิทยาศาสตร์ที่ยกเอาภาพภูเขาหน้าคน มาเปรียบเทียบกับMiddle Butte ว่าเหมือนกันเท่านั้นและต้องการให้นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ และจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีข้อโต้แย้งจากนาซ่า ก่อนหน้านี้มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนชี้ให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้ว่าภูเขาหน้าคนเป็นโครงร่างใบหน้าคนจริงๆ แต่รายละเอียดบนใบหน้าคือ ปาก จมูก ตา ถูกกระแสลมกัดกร่อนจนพังทลายไม่เหลือไว้ให้เห็นอีก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การกัดกร่อนสฟิงซ์ และพีระมิดกีซา ของกระแสลม เพียงแต่ภูเขาหน้าคนบนดาวอังคารมีอายุมากกว่าสฟิงซ์และพีระมิดหลายสิบเท่า ดังนั้นมันจึงไม่เหลือร่องรอยไว้ให้เห็น
นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นเจ้าของทฤษฎีใบหน้าบนดาวอังคารคือ ริชาร์ด ฮอคแลนด์ เขาวิเคราะห์ภาพใหม่สุดของนาซ่าแล้วยังยืนยันว่า มันเป็นประติมากรรมที่ถูกสร้างขึ้น ก่อนหน้านี้ฮอคแลนด์เคยชี้ว่าภาพใบหน้าบนดาวอังคารเป็นใบหน้าของสิงโต ไม่ใช่หน้าคน






เมื่อเขาใช้คอมพิวเตอร์สามมิติทดสอบใบหน้าสฟิงซ์และใบหน้าบนดาวอังคาร ฮอคแลนด์สรุปว่ามันมีโครงร่างที่คล้ายคลึงกัน และทฤษฎีของฮอคแลนด์ชี้ว่า สิ่งก่อสร้างบริเวณไซโดเนียร์มันเป็นแปลนเดียวกันกับบริเวณกีซ่า ในอียิปต์ อย่างไรก็ดีภาพใบหน้าบนดาวอังคารล่าสุด ซึ่งไม่ปรากฎ จมูก ปาก และ ตา เหมือนภาพจากยานไวกิ้ง 1 คงเป็นเรื่องยากที่จะจูงใจคนทั่วไปให้เชื่อว่า ครั้งหนึ่งมันเป็นภูเขาหน้าคนหรือสิงโต ที่ถูกสร้างขึ้น อย่างไรก็ดีประเด็น Symmetry ของที่ราบสูงของนาซ่าแห่งนี้เป็นเรื่องน่าคิด ดาวอังคารมีลักษณะทางธรณีที่ประหลาดหลายแห่ง เช่น สุสานหิน และตัวหนอนในรอยแตกของพื้นผิว ซึ่งคำอธิบายของนักธรณีวิทยายังไม่เป็นที่ยอมรับทั่วไป



ใบหน้าบนดาวอังคารก็ยังต้องหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้อย่างที่เฟลมมิงว่าไว้ เพราะฉะนั้น มันคงยังไม่จบ อย่างที่นาซ่าอยากให้จบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น