วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Red Tide ปรากฎการณ์ขี้ปลาวาฬ

Red Tide วายร้ายแห่งท้องทะเล

พลันเมื่อท้องทะเลรอบเกาะฮ่องกงเป็นสีแดง ปลาที่เลี้ยงไว้ก็พร้อมใจกันตายอย่างมากมาย ประชาชนชาวฮ่องกงเริ่มหวาดระแวง ในขณะที่ทางการก็ออกประกาศเตือน ให้หลีกเลี่ยงการบริโภคปลาทะเล รัฐบาลฮ่องกงประกาศปิดชายหาดสำคัญ 5 แห่ง และหลังจากนั้นไม่นาน ทะเลสีแดงก็ไปถึง ชายฝั่งตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ ปลา กุ้ง ปู หอย เสียชีวิต เมื่อน้ำทะเลเปลี่ยนจากสีครามเป็นสีแดง ทั้งหมดนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Red Tide


Red Tide คืออะไร ?


red tide เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจาก การเพิ่มจำนวนประชากร อย่างมหาศาล ของสาหร่ายเซลล์เดียวในทะเล หรือที่รู้จักกันดีว่าคือ algae bloom จำนวนประชากรของสาหร่ายเซลล์เดียวที่มากมาย ทำให้เห็นน้ำทะเลเป็นสีแดง

สาหร่ายเซลล์เดียวที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ red tide โดยมากเป็นสาหร่ายเซลล์เดียวกลุ่ม dinoflagellate สาหร่ายเซลล์เดียวกลุ่มนี้มีหางช่วยในการเคลื่อนที่ในน้ำ มักจะมีคลอโรฟิลด์สำหรับสังเคราะห์แสง และพวกมันก็จะผลิตสารพิษออกมาด้วย โดยทั่วไป สาหร่ายเซลล์เดียวพวกนี้จะสืบพันธุ์โดยการแบ่งตัว แต่ในยามที่อาหารขาดแคลน บางชนิดสามารถเปลี่ยนไปสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ซึ่งจะทำให้การเพิ่มของจำนวนประชากร เป็นไปได้ช้าลง หลาย ๆ ชนิดมีช่วงชีวิตหลายขั้นตอน มันอาจซ่อนตัวอยู่ในโคลนที่ก้นทะเล รอจนกระทั่งสภาวะเหมาะสม แล้วค่อยโผล่ออกมาก็ได้

สาหร่ายเซลล์เดียวบางชนิดที่ก่อให้เกิด red tide


Image:Ceratium.gif Ceratium


Image:Gymnodin.gifGymnodinium


Image:Protoper.gifProtoperidinium


ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่า red tide แผ่ขยายออกไปมากขึ้น dinoflagellate ที่มีพิษได้เพิ่มจาก 22 ชนิด เป็น 55 ชนิดทั่วโลก ในทศวรรษที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ได้ขยายจากยุโรป และสหรัฐอเมริกา ไปยังเอเชีย และทวีปอเมริกาใต้ สำหรับเหตุผลในการขยายขอบเขตของปรากฏการณ์นี้ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก มีคำอธิบายอยู่ 3 ประการคือ

  1. สาหร่ายเซลล์เดียว ติดไปกับเรือที่ใช้น้ำเป็นอับเฉา
  2. กระแสน้ำช่วยให้เกิดการสะสมของ ประชากรสาหร่ายเซลล์เดียว
  3. มลพิษจากมนุษย์ ช่วยเติมสารอาหารของสาหร่ายเซลล์เดียวลงในทะเล

สิ่งที่ควรรู้อีกอย่างก็คือ คำว่า algae bloom หรือ red tide จะทำให้นึกว่า เป็นการเพิ่มของประชากรสาหร่ายเซลล์เดียวอย่างมาก จนเรามองเห็นเป็นสีแดงได้ แต่ที่จริงแล้ว สาหร่ายเซลล์เดียวก็มีเม็ดสีอื่น ๆ จนบางครั้ง เราจะเห็นเป็นสีอื่น ๆ รวมทั้งไม่มีสีเลยก็มี นอกจากนั้น ประชากรสาหร่ายเซลล์เดียวเพียงไม่กี่เซลล์ต่อลิตร ก็ก่อให้เกิดสารพิษได้เช่นกัน

กลไกของ Red Tide


ปรากฏการณ์ red tide เกิดจากความหนาแน่นกว่าปกติ ของบรรดาสาหร่ายเซลล์เดียว โดยมากจะเป็น Gymnodinium breve หรือ จิมโนดิเนียม เบรเว เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่คนควบคุมไม่ได้ และก็ไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ จะเกิดขึ้นเมื่อ อุณหภูมิ ความเค็ม และสารอาหารในทะเล อยู่ในระดับที่เหมาะสม Gymnodinium breve ก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นมาอย่างมากมาย

จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดถึง การผสมผสานของปัจจัยเหล่านี้ในการก่อให้เกิด red tide แต่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่า เมื่ออุณหภูมิของน้ำทะเลสูง ลมสงบ ไม่มีฝน ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นต่อการเกิด red tide นอกจากนั้นก็มีความคิดกันว่า คนเองก็อาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์นี้ โดยการทิ้งปฏิกูลต่าง ๆ ลงในทะเล อีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่รู้ก็คือ ทำไมสาหร่ายเซลล์เดียวพวกนี้ถึงผลิตสาพิษออกมา และผลิตขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อสัตว์น้ำประเภทมีเปลือกที่กินอาหารด้วยการกรอง รวมทั้งปลาที่ใช้เหงือกกรองน้ำ ก็จะได้รับสารพิษพวกนี้เข้าไป และสารพิษก็จะมีความเข้มข้นขึ้น เมื่อคนมาบริโภคสัตว์น้ำเหล่านี้ ก็มีโอกาสเสีย ชีวิตได้


ผลกระทบของ Red Tide


Image:Manatee.jpg

จากการที่เมื่อเกิดปรากฏการณ์ red tide ก็จะทำให้สัตว์น้ำได้รับสารพิษ ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สัตว์น้ำเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก รวมทั้งปลาวาฬหลังตระโหงก โลมาหัวขวด และพยูน ในปี พ.ศ.2539 พยูนในฟลอริดาตายเพราะ red tide เป็นจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพยูนทั้งหมดที่นั่น และโลมาอีก 162 ตัวตายในเม็กซิโก

Image:Redtide_fish.jpg

ส่วนในปีนี้ก็ทำให้ปลาที่เลี้ยงในฮ่องกงตายไป 1,500 ตัน คิดเป็นครึ่งหนึ่งของที่ฮ่องกงผลิตได้เมื่อปีที่แล้ว ก่อให้เกิดการสูญเสียเป็นมูลค่าประมาณ 10.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยังทำให้เกิดข้อกังขาอีกด้วยว่า จะสามารถบริโภคปลาทะเลได้หรือไม่ ที่จีนแผ่นดินใหญ่เองก็สูญเสียปลาไปแล้ว 350 ตัน คิดเป็นค่าเสียหายได้มากกว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

อีกปรากฏการณ์ที่คล้ายกับ red tide มีชื่อว่า brown tide เกิดในแบบเดียวกัน แต่จะไม่มีสารพิษเกิดขึ้น ผลกระทบคือ จะทำให้แสงแดดทะลุผ่านน้ำทะเลลงไปได้น้อยลง หญ้าทะเล และพืชน้ำที่พื้นทะเลจะลดจำนวนลง ระดับออกซิเจนก็จะต่ำลง ถิ่นที่อยู่อาศัยเริ่มไม่เหมาะสมกับสัตว์ทะเลบางชนิด ระบบ นิเวศล่มสลาย เป็นการสูญเสียที่รุนแรง

ไม่เพียงการสูญเสียทรัพยากรสัตว์น้ำเท่านั้น red tide ยังทำให้การท่องเที่ยวบริเวณชายฝั่งลดลง การล่องเรือ การตกปลา ก็ได้รับผลกระทบ ร้านอาหารทะเลเองก็กระทบกระเทือนไม่แพ้กัน เนื่องจากประชาชนไม่มั่นใจในการบริโภคอาหารทะเล ไม่มั่นใจที่จะมาเที่ยวทะเล ถึงแม้จะเป็นบริเวณที่ปลอดภัยก็ตาม สำหรับคนทั่วไปที่บริโภค หอยกาบ หอยนางรม ปู ที่ได้รับสารพิษก็จะป่วยอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราบริโภคสัตว์น้ำที่จับขึ้นมาสด ๆ ไม่ได้ตายในน้ำ

สารพิษจะยังไม่ถูกดูดซับเข้าไปในเนื้อเยื่อของสัตว์น้ำ เราก็ยังคงปลอดภัย อาการทั่วไปสำหรับผู้ที่ได้รับสารพิษนี้ก็คือ มีอาการชาบริเวณรอบ ๆ ปาก และขยายไปยังใบหน้า และคอภายในหนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังจากได้รับพิษ ตามมาด้วยการปวดหัว วิงเวียน คลื่นเหียน และรู้สึกอ่อนเพลีย อาการจะเกิดขึ้นบริเวณปลายนิ้ว และลิ้นด้วย ต่อมาจะเคลื่อนไหวลำบาก หายใจติดขัด เกิดอาการหัวใจล้มเหลว เป็นอัมพาตบริเวณช่องอก และจะเสียชีวิตภายใน 12 ชั่วโมง ถ้าคิดว่าได้รับสารพิษจาก red tide ก็ทำให้สำรอกออกมา อย่าดื่มแอลกอฮอล์ และรีบไปพบแพทย์ทันที


เราควรทำอย่างไร ?


ปรากฏการณ์ red tide ไม่ได้เกิดในทุกชายฝั่งทะเล เราจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องงดการไปเที่ยวทะเลแต่อย่างใด ชาวประมงไทยก็รู้จักปรากฏการณ์นี้กันมานานแล้วในชื่อของ ขี้ปลาวาฬ เมืองไทยไม่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้นัก ผิดกับในฮ่องกง เนื่องจากบริเวณเลี้ยงปลามีจำกัด เมื่อเกิดปรากฏการณ์ขึ้น ปลาส่วนใหญ่จึงเสียชีวิต เพราะมีออกซิเจนละลายลงไปในน้ำน้อย น้ำใหม่ ๆ ไม่ค่อยไหลเข้าไป ผลกระทบจึงรุนแรง ชาวประมงใน ฮ่องกง และจีนก็พยายามเติมอากาศช่วยอยู่

ทางฮ่องกง และจีนยังบอกด้วยว่า red tide ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้รุนแรงที่สุด และเกิดเร็วกว่าทุกครั้ง ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจาก ปรากฏการณ์เอล นิญโญ่ด้วย รวมทั้งการทิ้งมลพิษลงสู่ท้องทะเลโดยฝีมือมนุษย์เอง

ถึงกระนั้น ปรากฏการณ์ red tide ก็ยังคงเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มนุษย์ยังรู้จักไม่มากนัก ไม่รู้กลไกที่แท้จริง ไม่รู้วิธีการควบคุม นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกกำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่มากมาย ในไม่ช้าเราคงได้คำตอบที่แท้จริง ส่วนประชาชนอย่างเรา ก็ควรทำใจให้สบายเข้าไว้ ไม่ตื่นตกใจเกินเหตุ และไม่ใช่ว่า เมื่อเราเห็นน้ำเป็นสีแดง แล้วจะทึกทักว่าเป็น red tide ทันที บางครั้ง สีแดงที่เราเห็นนั้นก็มาจากสาเหตุอื่น (รวมทั้งการทิ้งของเสียจากโรงงานด้วย)

3 ความคิดเห็น: